วันศุกร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2557

ฤดูกาลในฝรั่งเศส

ฝรั่งเศสเป็นประเทศหนาว   ในปีหนึ่งแบ่งออกเป็น  4  ฤดู   แต่ละฤดูจะกินเวลา  3 เดือน  วันเดือนที่กำหนดว่าเป็นวันเริ่มต้นและวันสิ้นสุดของแต่ละฤดูนั้น   จริง ๆแล้วไม่ได้หมายความว่าอากาศจะต้องเปลี่ยนแปลงอย่างนั้นจริง ๆ   วันเริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิบางปีในบางท้องถิ่นอากาศจะหนาวมากกว่าฤดูหนาวในบางถิ่น   ฤดูทั้ง
ของฝรั่งเศสมีดังนี้คือ

1. ฤดูใบไม้ผลิ   ( le  printemps )  ฤดูใบไม้ผลิเริ่มวันที่ 21   มีนาคม   สิ้นสุดวันที่  21  มิถุนายน  ในฤดูนี้อากาศจะอบอุ่นขึ้น  ต้นไม้ที่โกร๋นปราศจากใบมาตลอดเวลา 3   เดือน   ในฤดูหนาวที่หนาวเย็นจะเริ่มผลิใบ   การเปลี่ยนแปลงนี้รวดเร็วมาก  ในเวลาไม่กี่วันหลังอากาศอบอุ่นต้นไม้จะผลิใบเขียวชอุ่ม  ปลายเดือนมีนาคมและเดือนเมษายนอากาศจะไม่แน่นอน  ในช่วงนี้จึงยังคงเก็บเสื้อโค้ตไม่ได้เพราะอากาศจะหนาวเมื่อไรก็ได้   บางทีอาจจะมีฝนตกบ้าง   อากาศจะดีจริง ๆ  ในเดือนพฤษภาคม   ฤดูใบไม้ผลิเป็นฤดูที่สวยงาม   ฟ้าจะเป็นสีฟ้าใส  พระอาทิตย์ซึ่งไม่เคยปรากฏในฤดูหนาวเริ่มส่องแสง  ฤดูนี้ได้ชื่อว่าเป็นฤดูแห่งดอกไม้แห่งงานฉลองแห่งความรัก  ( la saison  des  fleurs, des  fêtes,  des amours )   มีงานฉลองมากมาย   เช่น พิธีรับศีลจุ่ม   พิธีแต่งงาน  ฯลฯ  สำหรับนักเรียนนักศึกษา  เดือนอากาศดีนี้หมายถึงการสอบปลายปีด้วย           แม้ว่าฤดูใบไม้ผลิจะเป็นฤดูที่ทุกคนคิดว่าเป็นฤดูที่สวยงาม   อากาศดี  แต่ก็เป็นฤดูที่อากาศไม่แน่นอน  อากาศจะเปลี่ยนแปลงอย่างไม่คาดหมาย imprévisible   ก็ได้  แต่ฤดูใบไม้ผลิก็นับว่าเป็นฤดูที่ดีที่สุดฤดูหนึ่งของปี

       2.  ฤดูร้อน  ( l’été )    เริ่มวันที่  22  มิถุนายน  สิ้นสุดวันที่  22   กันยายน   ฤดูร้อนเป็นฤดูที่กลางวันยาวมาก   เมื่อกลางวันยาว   กลางคืนก็สั้นประมาณ  6 – 7 ชั่วโมง  กลางวันยาวในที่นี้  หมายความว่า  พระอาทิตย์ตกดินช้า  สามทุ่มหรือสี่ทุ่มยังไม่มืด  เมื่อไม่มืดก็มีความรู้สึกว่ายังไม่ถึงกลางคืน   ในประเทศสแกนดิเนเวียนนั้นในฤดูร้อน  กว่าพระอาทิตย์ตกดินหรือจะมืดก็ประมาณห้าทุ่มหรือเที่ยงคืน   กลางคืนจะยาวประมาณ  6 – 7
ชั่วโมง   ฤดูร้อนในฝรั่งเศสอากาศร้อน  ผู้คนจึงไปชายทะเล  ฤดูร้อนเป็นฤดูแห่งวันหยุด  ผู้คนเฝ้ารอฤดูนี้เพื่อจะได้ไปเที่ยวทะเล  เพื่อจะได้อาบแดด  เพื่อจะได้รับประทานผลไม้สด ๆ เช่น  สตรอเบอรี่   แต่ในฤดูร้อนผลไม้ยังไม่อร่อย   ต้องรอให้ผลไม้สุกเสียก่อน   ฤดูร้อนบางปีอากาศอาจจะไม่ดีฝนตกบ่อย ๆ  ฤดูร้อนที่อากาศไม่ดีเรียกว่า   été pourri   ความหมายก็บอกว่าไม่เพลิดเพลิน   เป็น  “ฤดูร้อนที่เน่าเสีย”   คาดว่า   “été  canicule”  หมายถึงช่วงต้นฤดูร้อนที่อากาศร้อนมาก   บางเมืองอากาศจะร้อนมาก  อุณหภูมิที่สูงสุดในฤดูร้อนในฝรั่งเศสประมาณ  30 องศาเซลเซียส  ซึ่งร้อนมากสำหรับประเทศหนาว  ทำให้คนอยากไป   vacances   โดยเฉพาะคนที่อยู่ในเมืองใหญ่อย่างปารีส

       3.  ฤดูใบไม้ร่วง   ( l’automne )   ฤดูใบไม้ร่วงเริ่มต้นวันที่  23  กันยายน   สิ้นสุดวันที่  21   ธันวาคม   อากาศที่สดใส   แดดจ้าในฤดูร้อนเริ่มเปลี่ยน   ท้องฟ้าสีเทา  ลมแรง   ใบไม้เริ่มเปลี่ยนจากสีเขียวมาเป็นสีเหลือง   กลางวันสั้นมากขึ้น   กลางคืนยาวขึ้น   ใบไม้สีเหลือง   แห้งและร่วง   ฤดูใบไม้ร่วงก็เหมือนฤดูอื่น ๆ  คือ อาจจะเป็นฤดูใบไม้ร่วงที่อากาศดี   หรือฤดูใบไม้ร่วงที่อากาศไม่ดี   คือ   ฝนอาจจะตกบ่อย   ตอนต้นฤดูอากาศมักจะดี   ตอนปลายฤดู  คือ   เดือนพฤศจิกายนอากาศจะไม่ดี   ท้องฟ้าเป็นสีเทาและมืดครึ้ม   ตอนที่ใบไม้ร่วง   ต้นไม้โกร๋นเป็นตอนที่เศร้า   แต่ฤดูใบไม้ร่วงเป็นฤดูที่สวยฤดูหนึ่ง   เพราะใบไม้ที่เปลี่ยนสีทำให้ฟ้าสวยงามหาที่เปรียบไม่ได้   ป่าไม้ในฤดูใบไม้ร่วง  ( ตอนต้นและตอนกลางฤดู )   จะใช้คำขยายว่า  coloré   ซึ่งหมายถึงระบายด้วยสีประดับด้วยสี  ( อันสวยงาม )   “ศิลปินมักจะให้ฤดูใบไม้ร่วงเป็นฤดูที่สวยที่สุด   เนื่องจากสีใบไม้ที่เปลี่ยนสีแตกต่างกันมากมายหลายสี   ซึ่งธรรมชาติเท่านั้นจะทำได้            ทางใต้ของฝรั่งเศสอากาศจะไม่หนาว   แต่มีลมแรง  ( mistral )  ทางใต้จึงปลูกต้นไม้ที่สู้ลมได้   เช่น  ต้นมะกอก  ( olivier )    ต้นโอ๊ค  ( chêne  vert )    และต้นไม้ที่มีรากยาว ๆ  เช่น   องุ่น            ฤดูใบไม้ร่วงเป็นฤดูที่ดีที่สุดของคนบางกลุ่ม   คนฝรั่งเศสจำนวนหนึ่งที่ชอบล่าสัตว์จะถือปืนออกล่าสัตว์   ฤดูนี้เป็นช่วงที่คนในประเทศหนาวสามารถอยู่กลางแจ้งได้ก่อนที่ความหนาวจะคลืบคลานเข้ามาถึง

       4.  ฤดูหนาว   ( l’hiver )    เริ่มวันที่  22  ธันวาคม   สิ้นสุดวันที่  20  มีนาคม   ปลายฤดูใบไม้ร่วง   กลางวันสั้นมากขึ้น   ท้องฟ้ามืดครึ้ม   ฤดูหนาวในประเทศหนาวหรือประเทศฝรั่งเศสคือ  ความหนาว   ฝนและหิมะ   แต่ฤดูหนาวก็เหมือนฤดูอื่น ๆ  คือ   เป็นฤดูที่คนบางกลุ่มเฝ้ารอ   นั่นคือผู้ที่ชอบกีฬาฤดูหนาวและผู้ทำธุรกิจเกี่ยวกับกีฬาฤดูหนาว   เมืองที่อยู่บริเวณภูเขาและเป็นสถานีสกี   ( Stations  de  ski )   จะคึกคักและมีชีวิตชีวา            ฤดูหนาวเป็นฤดูแห่ง   “sports  d’hiver”   ครอบครัวหรือโรงเรียนจะพาลูก ๆ  และเด็ก ๆ  ไปเล่นสกีบนภูเขาในช่วง   vacances  de  neige   ผู้เดินทางในการขับรถที่อยู่ในเขตภูเขาที่มีหิมะตกจะต้องมี   pneus  à  clous   หรือ   roués  avec  chaine     ซึ่งเป็นยางรถที่ใช้บนถนนที่ลื่นด้วย  vergla  ( ฝนปนหิมะ )    gel  ( น้ำที่แข็งตัว )    และ   dégel  ( น้ำแข็งที่ละลายแล้ว )   นอกจากเจ้าของรถจะต้องเตรียมรถของตนให้พร้อมที่จะแล่นไปบนถนนที่อันตรายแล้ว   ทางราชการก็เตรียม  chasse – neiges  ( รถกวาดหิมะ )   เพื่อเปิดทางหากหิมะตกมาก ๆ  บนทางหลวงก็จะมีกระสอบทรายและกระสอบเกลือวางไว้ประจำ            ฤดูหนาวเป็นฤดูแห่งงานฉลอง   จะเห็นว่ามีเทศกาลหลายเทศกาลในฤดูนี้   เช่น   Fête  de  Saint – Nicolas,  Noël,  Nouvel  An,  Fête  des  Rois,  Carnavalนอกจากจะได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่มีอากาศปานกลาง   ( le  climat  doux   et   tempéré )   ของยุโรปแล้ว   อากาศในฝรั่งเศสยังแตกต่างกันตามลักษณะภูมิประเทศ   และลักษณะที่เด่นคือ   ความไม่แน่นอน   อากาศแต่ละฤดูไม่เหมือนกัน และฤดูเดียวกันในแต่ละปีก็ไม่เหมือนกัน


วันพฤหัสบดีที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2557

ที่มาและประวัติของชื่อ

ชื่อ ฝรั่งเศส
             

              คำว่า ฝรั่งเศส (France) มาจากภาษาละติน Francia ซึ่งแปลตามตรงว่า ดินแดนแห่งแฟรงค์ (Frankland) และมีหลายทฤษฎีที่สันนิษฐานถึงที่มาของคำว่า แฟรงค์ (Franks) ซึ่งหนึ่งในนั้นคือคำในภาษาโปรโต-เยอรมัน Frankon ซึ่งแปลว่า หลาว หอก หรือทวนซึ่งเป็นอาวุธของพวกแฟรงค์ เป็นที่รู้จักกันในชื่อ ฟรานซิสกา (Francisca)
อีกทฤษฎีหนึ่งตามหลักนิรุกติศาสตร์คือในภาษาเยอรมันโบราณ คำว่า แฟรงค์ แปลว่า อิสระ ซึ่งตรงกันข้ามกับความเป็นทาส โดยคำดังกล่าวยังคงปรากฏในภาษาฝรั่งเศสปัจจุบันในรูป ฟรังก์ (Franc) ซึ่งเป็นสกุลเงินของประเทศฝรั่งเศสจนกระทั่งเปลี่ยนเป็นสกุลเงินยูโรในปี พ.ศ. 2545

 ในปัจจุบันประเทศเยอรมนียังเรียกประเทศฝรั่งเศสว่า Frankreich ซึ่งแปลว่า อาณาจักรแห่งแฟรงค์ อีกด้วย

วันพุธที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2557

ชีส


Mozzarella
นั้นเป็นชีสสดจากประเทศอิตาลี่ จัดอยู่ในหมวด semi-soft cheese มีปริมาณความชื้นสูง มีตั้งแต่สีขาวไปจนถึงออกเหลืองนิดๆ และแบ่งออกได้เป็นหลายชนิด แต่ถ้าแบบดั้งเดิมของแท้ที่ดีที่สุดเนี้ย คือ Mozzarella di Bufala หรือว่า มอสซาเรลล่าที่ทำจากนมควายนั้นเอง แต่ชีสที่จะใช้ชื่อนี้ได้นั้นต้องผลิตในแคว้น Campania ทางตอนใต้ของประเทศอิตาลี่เท่านั้น บางคนคงงง แบบอ่าว เมืองนอกมีควายเหมือนบ้านเราด้วยหรอ คือว่าในสมัยก่อนเค้าเอาควายไปจากประเทศอินเดีย

คาม็องแบร์ต (Camembert)
เป็นชีสฝรั่งเศส เกิดที่แคว้นนอรมังดี นักทานบางคนอ้างว่าได้รสของแอปเปิ้ลในชีสชนิดนี้ เป็นชีสที่มีสี กลิ่น รส เนื้อ หน้าตาใกล้เคียงกับชีสที่ชื่อว่า บรี (Brie) คาม็องแบร์จะขายทั้งก้อนกลมๆไม่ใหญ่มาก หรือขายครึ่งวงกลม คาม็องแบร์ตมีรูปทรงเป็นวงล้อ เนื้อจะแข็งเมื่อแช่เย็น แต่จะนิ่มและไหลยืดนิดๆเมื่ออุ่นขึ้น เหมาะกับทานกับขนมปัง ผลไม้ ถั่วต่างๆ และควรทานที่อุณหภูมิห้อง เป็นชีสที่ทำจากนมวัวพาสเจอร์ไรส์

บรี (Brie)
          หน้าตาใกล้เคียงกับคาม็องแบร์ตมาก แต่บรีมักจะทำก้อนใหญ่กว่า และขายเป็น
แว่นสามเหลี่ยม บรีรสเข้มกว่าคาม็องแบร์ต เหมาะกับการทานกับแชมเปญ

ร็อคฟอร์ต (Roquefort)
          เป็นบลูชีสโบราณจากแคว้นรูเอิร์ก ซึ่งเป็นแคว้นเล็กๆทางใต้ของฝรั่งเศส ชีสนี้เทียบเคียง
ได้กับชีสสติลตั้นของอังกฤษ กับชีสกอร์กอนโซล่าของอิตาลี ถือว่าเป็นสามทหารเสือแห่ง
บลูชีสเลยทีเดียว และเป็นชีสที่สร้างมาตรฐานให้กับบลูชีสชนิดอื่นๆ ร็อคฟอร์ตทำจากนม
แกะดิบ ซึ่งเป็นคู่แข่งตัวดีกับนมวัวพาสเจอร์ไรส์ ร็อคฟอร์ตจะมีการหมักบ่มอย่างเป็นธรรม
ชาติในถ้ำแห่งค็องบาลู เป็นเวลาอย่างน้อยสามเดือน เพื่อให้ได้รสชาติเข้มลึก สมาคมร็อค
ฟอร์ตเป็นผู้คุ้มครองคุณภาพของชีสชนิดนี้ และทำเครื่องหมายติดว่าเป็นชีสร็อคฟอร์ตของ
แท้ไม่ปลอมปน ด้วยตราแกะสีแดง สร็อคฟอร์ตเป็นชีสเนื้อนุ่ม ไม่มีผิวแข็งๆ และค่อนข้าง
เกาะกันเป็นก้อนร่วนๆ ตัดขายเป็นเสี้ยววงกลม ราคาค่อนข้างแพงกว่าอย่างอื่นๆ  ทานกับ
แอปเปิ้ลเปรี้ยวๆ หรือหักเป็นก้อนๆ ใส่สลัดใบเอ็นไดว์ผสมกับลูกวอลนัต บางทีก็เอาไปทำ
น้ำสลัดแบบข้นได้

เพโคริโน่ (Pecorino)
          เป็นชีสที่ทำจากนมแกะบริสุทธิ์ และแต่งรสด้วยไวน์ แต่แอลกอฮอล์ระเหยหายไปหมดแล้ว  เพโคริโน่เป็นชีสที่เก่าแก่ที่สุดชนิดหนึ่งของโลก และสามารถสืบย้อนประวัติกลับไปได้ยาวนานถึง 2000 ปีทีเดียว ไปจนถึงยุคที่อาชีพหลักของอิตาลีคือการเลี้ยงสัตว์ในทุ่งหญ้า ประวัติความเป็นมาของไวน์ก็ยาวนานไม่แพ้กัน ดังนั้นเมื่อนำไวน์กับชีสชนิดนี้มารวมกัน ก็นับเป็นคู่ขวัญที่ลงตัวอย่างเพอร์เฟ็ค มีการทำเพโคริโน่ผสมพริกป่น รสเผ็ดจากพริกป่นนี้จะทำให้คันคอนิดๆ แต่ไม่ทำให้เผ็ดที่ในปาก พริกป่นจากพริกอิตาเลียนชื่อว่า เปเปอโรนชิโน่ ที่ลักษณะเหมือนนิ้วมือนางและเผ็ดทัดเทียมกับพริกเม็กซิกันที่เรียกว่า ฮาลา กระบวนการหมักบ่มชีสนี้ใช้เวลาสามเดือน เป็นชีสเนื้อแข็งเหมาะกับการฝานเป็นชิ้นๆ หรือขูดให้ป่น คำว่า Pecorino ในภาษาอิตาเลียนหมายความว่า นมแกะ มีเพโคริโน่บางรุ่นที่เรียกว่า Pecorino Romano เพื่อเป็นการบอกว่าสืบสานต้นตำนานมาแต่สมัยโรมันครองเมือง ชีส เพโคริโน่ โรมาโน่ ทั้งหมดนี้ทำในแคว้น Lazio แคว้น Tuscany หรือแคว้น Sardinia ในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงมิถุนายน ทั้งสามแว่นแคว้นนี้มีลักษณะทุ่งเลี้ยงสัตว์คล้ายกัน และเลี้ยงแกะพันธุ์เดียวกันทำให้ได้รสชาติสม่ำเสมอทั่วหน้ากัน ชื่อ Pecorino Romano นี้ได้รับการจดทะเบียนคุ้มครองโดยสมาคมของอิตาลี ทั่วประเทศอิตาลีมีการทำชีสเพโคริโน่นี้มากมายไปหมด เพโคริโน่มีสีเหลืองซีดและมีผิวเป็นสีดำพริกไทยหรือน้ำตาลเข้ม เป็นชีสที่เหมาะกับการขูดใส่หน้าพาสต้า ซุป หรือสลัด หากจะทำเป็นของหวานก็ฝานเป็นแผ่นๆ หรือหั่นเป็นก้อน และโรยด้วยน้ำผึ้ง ทานกับลูกแพร์สุก

พาร์มิจาโน่ เร็กจิอาโน่ (Parmigiano Reggiano)
ถือกำเนิดเมื่อเจ็ดศตวรรษก่อนในจังหวัดของอิตาลีที่ชื่อว่า พาร์ม่า เมืองเร็กกิโอ้ เอมิเลีย
เมืองโมเดน่า และส่วนหนึ่งของเมืองโบโลญญ่า และส่วนหนึ่งของเมืองมันทัว เมืองเหล่านี้
เหมือนถูกสวรรค์กำหนดให้สามารถเลี้ยงสัตว์ได้ในท้องทุ่งที่สมบูรณ์แบบวิเศษสุด ทำให้เกิด
นมที่สุดพิเศษ ได้ชื่อย่านนี้ว่า "Zone Tripica" ช่างทำชีสแห่งท้องถิ่นมีกระบวนการทำชีสนี้
อย่างเป็นธรรมชาติ โดยไม่เคยดัดแปลงวิธีการติดต่อกันมานับ 700 ปี ไม่มีการใช้สารกันบูด
ไม่มีการใช้เครื่องจักร ไม่มีเครื่องมืออะไรทั้งสิ้น แค่ใช้นมสดอันแสนหวานที่ได้มาจากวัวที่สุข
ภาพเป็นเลิศ จากนั้นก็ใช้วิชาช่างฝีมือทำชีสแบบโบร่ำโบราณ แล้วปล่อยให้ธรรมชาติดูแล
เป็นเวลา 18 ถึง 36 เดือน การทานชีสนี้ให้ถูกหลักคือ ให้ซื้อเป็นก้อน ห่อด้วยกระดาษไข
ไม่แน่นมากเกิน และเก็บให้ห่างอาหารกลิ่นแรง และขูดหรือหั่นเท่าที่ต้องการทานในแต่ละ
ครั้ง ชีสขูดแล้วขายนั้นเป็นขวดๆ หรือห่อๆ นั้นไม่อร่อยเท่าชีสก้อน เพราะเสียรสอันพิเศษไป
พาร์มิจาโน่ เรกจิอาโน่ เป็นชีสแสนอร่อย รสเข้ม รุ่นที่แก่สุด 36 เดือนนั้นมีสีทองเข้ม และ
เนื้อกรอบเป็นก้อนเหมือนแก้วคริสตัล รสเข้มและมีสัมผัสของผลไม้ นิยมเสิร์ฟเป็นก้อน ทาน
กับลูกมะเดื่อ หรือเป็นของว่างทานกับเครื่องดื่มเรียกน้ำย่อย ร้านขายชีสชั้นดีบางทีก็นิยมขาย
พาร์มิจาโน่ เร็กจิอาโน่เป็นชุดๆ มีหลายๆรส ทั้งแบบชีสแก่และชีสอ่อน ดื่มกับไวน์แดงอิตาลี
คิอันติ หรือ คาแบร์เน่ต์ เข้ากันดีมาก แล้วยังมีพาร์มิจาโน่ เร็กจิอาโน่ ที่ทำจากวัวที่มีขนสีแดง

อีกด้วย ว่ากันว่ามีมันเนยสูงกว่าวัวอื่นๆ และให้โปรตีนสูงกว่าด้วย

วันอาทิตย์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2557

สำนวนภาษาฝรั่งเศส

สำนวนภาษาฝรั่งเศส
s’en moquer comme de l’an quarante
ตลกเหมือนปีสี่สิบ (ไม่เชื่อสิ่งที่คนบอก ในปี ค.ศ. 1792 ซึ่งเป็นปีแรกของการปกครองระบอบสาธารณรัฐฝรั่งเศส พวกนิยมกษัตริย์ไม่เชื่อว่าการปกครองระบอบนี้จะอยู่ได้ถึง 40 ปี)

tenir la queue de la poêle
ถือหูกระทะ (รับผิดชอบในสิ่งที่จะทำ)

tenir le loup par les oreilles
จูงหมาป่าด้วยหูของมัน (อยู่ในบานะที่กระอักกระอวลและอันตราย)

mettre du foin dans ses bottes
ใส่ฟางในรองเท้าบู๊ต (รวยขึ้น)

Cela coûte les yeux de la tête
มีค่าเหมือนดวงตา (แพงมาก)

mettre tous ses œufs dans le même panier
ใส่ไข่ทั้งหมดในตะกร้าใบเดียว

parler le français comme une vache espagnole
พูดฝรั่งเศสเหมือนแม่วัวสเปน (พูดเหน่อ)

Qui vivra, verra
ใครมีชีวิตอยู่ก็จะเห็น

recevoir quelqu’un à la fortune du pot
ต้อนรับใครเท่ากับอาหารที่มีอยู่ (เลี้ยงตามมีตามเกิด มีอะไรก็เอามาเลี้ยง)

savoir une chose sur le bout du doigt
ต้อนรับใครเหมือนสุนัขในการเล่นชนิดหนึ่ง (ต้อนรับไม่ดี)

savoir une chose sur le bout du doigt
รู้อะไรบนปลายนิ้ว (รู้อย่างดี)

jeter des pierres dans le jardin de quelqu’un
ขว้างก้อนหินไปยังสวนของใครคนใดคนหนึ่ง (วิจารณ์ทางอ้อม)

larmes de crocodile
น้ำตาของจระเข้ (น้ำตาของคนที่ชอบบ่น ร้องทุกข์เพื่อจะหลอกลวงคนอื่น ในสมัยก่อนเชื่อว่าจระเข้ซ่อนอยู่ในหนองน้ำเลียนเสียงมนุษย์พอเห็นคนเดินมาเพื่อจะดึงดูดใจให้คนที่เข้าใกล้ได้ยิน)

mettre les petits plats dans les grands
ใส่อาหารเล็กน้อยลงไปในจานใบใหญ่ (ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ)

mettre quelqu’un au pied du mur
ให้ใครอยู่ที่เชิงกำแพง (บังคับให้ลงมือ)

acheter chat en poche, ou en sac
ซื้อแมวที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อหรือกระเป๋าถือ

A la guerre comme à la guerre
ในสงครามก็ต้องทำตัวเหมือนอยู่ในสงคราม (ต้องรู้จักอดทนเมื่อมีความจำเป็น)

avoir le coeur à la bouche
มีหัวใจอยู่ที่ปาก (ทำให้น้ำลายไหล อยากรับประทาน)

être comme le poisson dans l’eau
เหมือนปลาในน้ำ (รู้สึกสบาย ไม่อึดอัด)

être un coq en pâte
เหมือนห่อไก่ในแป้ง (มีความสะดวกสบายทุกอย่างในชีวิต)

faire des châteaux en Espagne
สร้างปราสาทในสเปน (ทำสิ่งที่ยากเกินความสามารถ สร้างวิมานในอากาศ)

être dans petits souliers
อยู่ในรองเท้าที่เล็กกว่าเท้า (อยู่ในสถานการณ์หนักใจ)

faire l’école buissonnière
หนีโรงเรียน

être comme un chien du jardinier
เหมือนสุนัขของคนสวน (หมาหวงก้างเหมือนสุนัขเฝ้าสวนที่กินกระหล่ำปลีไม่ได้ แต่ก็ไม่ให้คนอื่นกิน)

ne pas aller par quatre chemins

ไม่พูดอ้อมค้อม